ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงไม่ใช่เพียงแค่ร่างๆหนึ่ง แต่เป็นคุณสมบัติของการเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ซึ่งคุณสมบัตินี้เองก็ได้แก่ “พระธรรม” ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “ใครก็ตามที่เห็นธรรม คนนั้นเห็นเรา” คนที่เข้าใจพระธรรม ก็คือผู้ที่ปฏิบัติจนมองเห็นความเป็นจริงตามที่เป็น รู้ว่าทุกข์เป็นอย่างไร รู้ว่าเหตุแห่งทุกข์เป็นอย่างไร รู้ว่าเมื่อใดมีทุกข์ รู้ถึงหนทางที่จะดับทุกข์ และรู้ถึงสภาวะอันเป็นการดับทุกข์ คนๆนั้นก็ได้ชือว่า “มองเห็น” พระพุทธเจ้า
ดังนั้น ในคำพูดยุคหลังๆจึงมีการพูดถึง “พระธรรมกาย” อันหมายถึงคุณลักษณของการเป็นผู้ตื่นที่ดำรงอยู่ตลอดไม่สูญสลายไปไหน ที่ไม่สูญสลายก็เพราะว่า คุณสมบัติของพระธรรมไม่สูญสลาย เพราะเป็นจริงเช่นนี้อยู่ตลอดกาล ในแง่นี้ พระธรรมกับพระพุทธเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน
นอกจากนี้ ในพระพุทธศาสนามหายาน ก็ยังมีการพูดเกี่ยวกับ “พระสัมโภคกาย” อันแปลว่า “กายรื่นรมย์” ของพระพุทธเจ้า ได้แก่กายที่อยู่ระหว่างกายเนื้อ หรือ “รูปกาย” กับ “ธรรมกาย” กายเนื้อหรือ “รูปกาย” ก็ได้แก่พระพุทธเจ้าที่อยู่ในรูปของกายเนื้อหนังปกติที่เรารู้จักกันดี ส่วน “ธรรมกาย” ก็ได้แก่กายพระธรรม หรือกายบริสุทธิ์อันเป็นคุณสมบัติของการเป็นพระพุทธเจ้า ที่ได้พูดถึงไปแล้วข้างต้น เราอาจจะพูดได้ว่า ที่เรียกว่า “พระธรรมกาย” นั้น คำว่า “กาย” ในคำนี้เป็นคำพูดเปรียบเทียบ เพื่อให้ผู้ที่ยังไม่หลุดพ้นจากการคิดแบบติดกับภาษา หรือยึดติดกับรูปร่าง ได้เข้าใจว่าเป็นอย่างไร ซึ่งหากผู้ฟังหลุดออกจากกับดับของภาษา และเข้าใจความจริงตามที่เป็นอย่างสมบูรณ์แล้ว ก็จะไม่มีความจำเป็นต้องพูดเรื่อง “กาย” อีกต่อไป
ทีนี้ “กายรื่นรมย์” ของพระพุทธเจ้า ก็คือกายที่ข้างหนึ่งอยู่อย่างเป็นอิสระ เป็นคุณลักษณะของการเป็นพระพุทธเจ้า เช่นเดียวกับธรรมกาย แต่อีกข้างหนึ่ง ก็เป็นกายที่ผู้ปฏิบัติสามารถสัมผัสได้ หรือรับรู้ได้ว่าเป็นกายที่มีรูปร่าง มีเครื่องทรง มีพระสุรเสียง ฯลฯ เช่นเดียวกับ “รูปกาย” สาเหตุที่มีพระสัมโภคกาย หรือกายรื่นรมย์ก็เพราะว่า ในการปฏิบัติธรรมนั้น ย่อมต้องมีขั้นตอนระหว่างกลาง คือระหว่างการเป็นผู้เริ่มปฏิบัติธรรม กับการบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าหรือเป็นผู้ตื่นอย่างสมบูรณ์ เราอาจเปรียบได้ว่า รูปกายของพระพุทธเจ้านั้น มีไว้สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มปฏิบัติพระธรรม ยังไม่อาจเข้าใจพระธรรมอันลึกซึ้ง อันเป็นการปรากฏของพระธรรมกายได้ ส่วนพระธรรมกายเองนั้นก็เป็นสภาวะอันสมบูรณ์สูงสุด เป็นเป้าหมายของการปฏิบัติทั้งหมด แต่เนื่องจากการปฏิับัติหรือการเดินทางตามเส้นทางนั้น จำเป็นต้องอาศัยระยะเวลา และอาจมีอุปสรรคต่างๆ จึงมีพระสัมโภคกายขึ้น เพื่อเป็นตัวแทนของการปฏิบัติอยู่บนเส้นทางสู่การบรรลุพระพุทธภาวะ
เราอาจทำความเข้าใจเรื่องนี้อีกแบบหนึ่งได้เช่นนี้ พระธรรมกายนั้นเป็นสภาวะอันสมบูรณ์สูงสุดของพระธรรม ส่วนพระสัมโภคกายนั้น ก็ได้แก่พระธรรมกายนั่นแหละ แต่ปรากฏออกมาในรูปแบบที่ “เป็นรูปธรรม” มากขึ้น คือมีเครื่องทรง มีภูษาอาภรณ์ มีพระพักตร์ มีลักษณะเป็นชายหรือหญิง ฯลฯ แต่สภาวะ “รูปธรรม” ของพระสัมโภคกายนั้น ก็ยังมิใช่รูปธรรมแบบ “รูปกาย” ซึ่งคนทั่วไปทั้งหมดสามารถจับต้องได้ เพราะถึงแม้มีการทรงภูษาอาภรณ์ ฯลฯ ก็ยังเป็นสภาพที่เป็นนามธรรมอยู่ในสายตาของผู้เริ่มปฏิบัติ มีแต่ “รูปกาย” หรือเรียกอีกอย่างว่า “นิรมาณกาย” หรือ “กายนิรมิต” เท่านั้น ที่ ทุกคน สามารถมองเห็น จับต้อง ได้ยินเสียง ฯลฯ ได้
กล่าวโดยสรุป ก็คือว่า พระพุทธเจ้าทรงปรากฏพระองค์ได้ในหลายรูปแบบ หรือเป็นสามรูปแบบใหญ่ๆ ในสภาพอันเป็นสิ่งสมบูรณ์สูงสุดนั้น ทรงเป็นพระธรรมกาย แต่เพื่อให้พระพุทธเจ้าและคำสอนสามารถเข้าถึงคนทุกคน และสัตว์โลกทั้งหมดในสังสารวัฏได้ จึงปรากฏพระองค์ออกมาเป็นรูปกายหรือนิรมาณกาย และเพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างสองสถานะนี้ ก็ปรากฏพระองค์เป็นพระสัมโภคกาย ทั้งหมดนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของเหล่าสรรพสัตว์ทั้งสิ้น ทรงปรากฏพระองค์เป็นรูปกาย เพื่อประโยชน์ของสัตว์โลกที่เพิ่งเริ่มปฏิบัติ ทรงปรากฏพระองค์เป็นสัมโภคกาย เพื่อประโยชน์ของสัตว์โลกที่อยู่บนเส้นทางของการปฏิบัติ หรือผู้ที่เป็นพระโพธิสัตว์ ส่วนพระธรรมกายนั้น ได้แก่กายอันแท้จริงของพระพุทธเจ้า