เมื่อวานผมได้ไปร่วมงานของมูลนิธิพันดาราหัวข้อ “เยิรไกรลาศ: ลำนำมนตราหิมาลัย” โดยมีแขกรับเชิญคนสำคัญได้แก่แม่ชีเชอยิง เตรอมา ผู้มีชื่อเสียงจากการร้องเพลงธรรมะไปทั่วโลก การมาเยือนประเทศไทยครั้งนี้เป็นครั้งแรกของเธอ และเธอก็ได้รับเชิญจากหลวงพี่อนิล วัดบวรนิเวศที่คิดว่าเหตุใดแม่ชีเชอยิงถึงไปโด่งดังอยู่ทั่วโลกแต่ในประเทศไทยที่อยู่ใกล้ๆเนปาลบ้านเกิดของท่านทั้งสองแล้ว กลับไม่เคยมาเยี่ยมเยียนเลย หลวงพี่อนิลก็เลยเชิญแม่ชีมาร่วมงานพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก แล้วในวันสุดท้ายของการมาเยือนประเทศไทย ก็ได้เปิดโอกาสให้คนทั่วไปเข้าร่วมฟังการบรรยายและการขับขานลำนำของท่าน
การมาเยือนของท่านแม่ชีในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการฉลอง “พุทธชยันตี” ซึ่งปีนี้เชื่อกันว่าเป็นปีที่ครบรอบ ๒,๖๐๐ ปีของการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า กาาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านับเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญมากที่สุดเหตุการณ์หนึ่งในประวัติศาสตร์โลก ทำให้ชาวโลกได้มองเห็นหนทางที่จะเอาชนะความทุกข์ทั้งมวลที่มารุมเร้าอยู่ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันใหญ่หลวงยิ่ง ในการเสวนากันช่วงแรกหลวงพี่อนิลได้กล่าวถึงคำอุทานแรกของพระพุทธเจ้าหลังจากที่เพิ่งได้ทรงตรัสรู้พระสัมโพธิญาณ คำอุทานนี้มีความสำคัญยิ่งในการเข้าใจคำสอนของพระพุทธศาสนา จึงขอยกมาทั้งหมดดังนี้
อะเนกะชาติสังสารัง สันธาวิสสัง อนิพพิสัง
เมื่อเรายังไม่พบญาณ ได้แล่นท่องเที่ยวไปในสงสารเป็นเอนกชาติ
คะหะการัง คะเวสันโต ทุกขา ชาติ ปุนัปปุนัง
แสวงหาอยู่ซึ่งนายช่างปลูกเรือน; การเกิดทุกคราว เป็นทุกข์ร่ำไป
คะหะการะกะ ทิฏโฐสิ ปุนะ เคหัง นะ กาหะสิ
นี่แน่ะนายช่างปลูกเรือน! เรารู้จักเจ้าเสียแล้ว; เจ้าจะทำเรือนให้เราไม่ได้อีกต่อไป
สัพพา เต ผาสุกา ภัคคา คะหะกูฏัง วิสังขะตัง
โครงเรือนทั้งหมดของเจ้าเราหักเสียแล้ว; ยอดเรือนเราก็รื้อเสียแล้ว
วิสังขาระคะตัง จิตตัง ตัณหานัง ขะยะมัชฌะคา
จิตของเราถึงแล้วซึ่งสภาพที่อะไรปรุงแต่งไม่ได้อีกต่อไป มันได้ถึงแล้วซึ่งความสิ้นไปแห่งตัณหา
และเมื่อแม่ชีเชอยิงได้ยินคำแปลของการสนทนากันในหัวข้อนี้ ก็เลยกล่าวขึ้นมาว่า ตนเองรู้จักเพลงพื้นบ้านของเนปาลอยู่บทหนึ่ง ซึ่งมีเนื้อหาตรงกันกับคำอุทานนี้ของพระพุทธเจ้า และท่านก็ได้กรุณาร้องให้เราฟังสดๆดังต่อไปนี้
Ani Choying Singing
หากเราพิจารณาเนื้อหาของคำอุทานของพระพุทธเจ้าตรงนี้ เราก็จะเห็นว่าเนื้อความบอกว่า นายช่างที่สร้างบ้านให้ท่านอยู่นี้ได้สร้างบ้านให้ท่านอยู่มาเป็นเวลาหลายภพหลายชาติ และเหตุที่ท่านยังทรงอยู่ในสังสารวัฏก็เพราะว่านายช่างนี่แหละเป็นคนคอยสร้างบ้านให้ท่านอยู่มาเรื่อย และเมื่อท่านได้ทรงตรัสรู้ ก็พบตัวนายช่าง รู้แล้วว่านายช่างจะทำอะไร อย่างไร ก็เลยหักพังบ้านของนายช่างเสีย นายช่างก็สร้างบ้านไม่ได้อีกต่อไป
เราอาจสงสัยว่าทำไมจึงต้องทำลายบ้านของนายช่างด้วย คนทั่วไปมักจะคิดว่าทำไมต้องทำลายบ้านด้วย มีบ้านอยู่ดีๆไม่ชอบหรือ? คำตอบก็คือว่าการมีบ้านก็คือการว่ายวนอยู่ในสังสารวัฎ ชาติหนึ่งก็มีบ้านหนึ่ง เช่นชาตินี้เราเป็นมนุษย์ (ถึงอ่านบล๊อกนี้รู้เรื่อง) แต่ชาติก่อนเราอาจเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือเป็นเทวดา หรือเป็นอย่างอื่นๆ แล้วชาติหน้าก็จะเป็นอย่างอื่นเรื่อยๆไป เหมือนกับบ้านที่ว่านี้ไม่ใช่บ้านที่แท้จริง แต่เปลี่ยนไปเรื่อยๆเหมือนเราท่องเที่ยวไปแล้วก็แวะพักค้างคืนตามโรงแรม เพียงแต่ว่าไม่ว่าเราจะไปโรงแรมที่ไหน ก็จะมีนายช่างที่ว่าคอยสร้างให้เรื่อย ทำให้เราคิดอยู่ทุกครั้งว่าห้องที่เราอยู่ครั้งนี้เป็นบ้านของเราจริงๆ
ปัญหาก็คือ นายช่างคนนี้เป็นใคร ทำไมถึงคอยมาปลูกเรือนให้เราอยู่ทุกครั้งที่เราท่องเที่ยวไป จริงๆแล้วก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นตัวเราเองนี่แหละ การค้นพบที่สำคัญของพระพุทธเจ้าก็คือว่าค้นพบว่านายช่างที่คอยสร้างบ้านให้อยู่ในแต่ละชาตินั้น ก็คือตัวของเราแต่ละคน การคิดไปว่ามีตัวเราทำให้เกิดการแบ่งแยกว่านี่คือตัวเรา นี่ไม่ใช่ตัวเรา และขอบเขตของตัวเราก็คือขอบเขตของ “บ้าน” ที่นายช่างปลูกให้เรานี่เอง
ดังนั้นการที่พระพุทธเจ้าพบกับคนสร้างบ้าน ก็คือกลับมาเผชิญหน้ากับตัวตนของท่านเอง เหมือนกับพระพุทธเจ้ากลับมาเจอกับ “เจ้าชายสิทธัตถะ” หรือ “โอรสองค์เดียวของพระเจ้าสุทโธทนะกับพระนางสิริมหามายา” หรือ “อาจารย์ของปัญจวัคคีย์” แล้วก็รู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวตนของท่านที่คอยสร้างที่อยู่ให้แก่ท่านเพื่อหลอกล่อให้ท่านติดอยู่กับบ้านเหล่านี้ ให้คิดไปกว่าบ้านเหล่านี้เป็นของจริง เป็นที่พักอาศัยที่ปลอดภัยสุขสบาย ซึ่งแท้จริงแล้วมีแต่ทำให้เกิดความทุกข์มากมาย ซึ่งความทุกข์เหล่านี้เองที่เป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อหาทากำจัดถอนรากถอนโคนโดยสิ้นเชิง
ทำไมพระพุทธเจ้าจึงทรงกล่าวว่า ” เรารู้จักเจ้าเสียแล้ว; เจ้าจะทำเรือนให้เราไม่ได้อีกต่อไป”? ก็เพราะว่าหากนายช่างที่ว่านี้เป็นคนอื่น การเพียงแต่รู้จักจะไม่ทำให้นายช่างนี้มาทำเรือนให้ท่านไม่ได้อีก แต่เนื่องจากนายช่างก็ไม่ใช่ใครที่ไหน อยู่ด้วยกันกับท่านมาตลอดทุกภพทุกชาติ การ “รู้จัก” นายช่างเรือนก็คือว่า “รู้ทัน” ว่าบ้านที่นายช่างคอยสร้างมาให้ตลอดนี้ ไม่ใช่อะไรอื่นนอกเสียจากการที่ตัวตนของท่านถูกสร้างขึ้นมา และก็สร้างมายาหลอกท่านว่านี่คือความจริง ซึ่งเป็นเหตุเบื้องแรกที่สุดของการเกิดความทุกข์
นี่เป็นเหตุที่ว่าทำไมการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าจึงเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติทั้งมวล การเผชิญหน้าและรู้จักเท่ากันกับ “นายช่างเรือน” ซึ่งก็คือตัวตนของเรานี่เอง และทำลายการสร้างภาพมายาของนายช่างเสียได้เป็นความก้าวหน้าอย่างสำคัญยิ่งของมนุษย์ และเป็นเหตุที่ว่าทำไมเราถึงควรมาฉลอง ๒.๖๐๐ ปีของการตรัสรู้กัน การฉลองนี้ไม่ใช่เพียงแค่ทำตามกระแสหรือทำอะไรตามที่สื่อต่างๆชักชวนให้เราทำ แต่เราควรกลับมาหา “นายช่าง” ประจำตัวของเราแต่ลคนให้พบแบบเดียวกับที่พระพุทธเจ้าได้ทำให้ดู แล้วก็บอกนายช่างคนนี้ว่า “เรารู้จักท่านแล้ว ต่อไปนี้ท่านสร้างบ้านให้เราไม่ได้อีกต่อไปแล้ว” หากเราเริ่มทำได้แบบนี้ก็นับได้ว่าเราฉลองพุทธชยันตี และเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง
13.738967
100.533439
You must be logged in to post a comment.