เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาผมได้รับเชิญให้ไปพูดในงานเรื่อง “ความท้าทายของสื่อใหม่กับการเมืองไทย” จัดโดยมูลนิธิไฮน์ริค เบิลล์และคณะรัฐศาสตร์ จุฬา โดยพูดเรื่อง “Hate Speech กับ Free Speech” ร่วมกับ อ. พิรงรอง และ อ. พรสันต์ จากคณะนิติศาสตร์ ม. อัสสัมชัญ ในการพูดมีโจทย์ที่น่าสนใจมากๆเกี่ยวกับพรมแดนระหว่างสองอย่างนี้ ก็เลยเอามาเล่าให้ฟังพร้อมกับคิดอะไรเพิ่มจากที่พูดวันนั้นด้วย
พูดง่ายๆ free speech ได้แก่เสรีภาพในการพูดการแสดงความคิดเห็น ซึ่งรวมไปถึงการแสดงออกทางอื่นๆเช่นการวาดรูป ฯลฯ ด้วย เสรีภาพดังกล่าวได้รับการประกันในรัฐธรรมนูญของประเทศต่างๆ เนื่องจากเป็นเสรีภาพพื้นฐานอย่างหนึ่ง และเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับประชาธิปไตย เมื่อประชาธิปไตยเป็นการปกครองโดยประชาชนที่ปกครองกันเอง การที่แต่ละคนมีเสรีภาพในการพูด การแสดงความคิดเห็นจึงมีความสำคัญ เพราะเป็นการแสดงถึงความเท่าเทียมกันของแต่ละคนในฐานะพลเมือง ซึ่งแต่ละคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน ไม่มีใครเหนือกว่าใครโดยธรรมชาติ ดังนั้นทุกคนก็ต้องมีเสรีภาพเท่าเทีียมกันในการแสดงความเห็นของตนเอง นอกจากนี้การเปิดกว้างให้มีการแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ ก็ยังเป็นเปิดโอกาสให้ความคิดต่างๆถูกเสนอขึ้นมาแม้จะเป็นความคิดที่แปลกประหลาดเพียงใดก็ตาม เราเรียกสภาวะที่ความคิดต่างๆไหลเวียนเช่นนี้ว่า “ตลาดความคิดเสรี” สถานการณ์แบบนี้ย่อมดีกว่าสถานการณ์แบบตรงข้ามที่มีการปิดกั้นมิให้มีความคิดที่แตกต่างมีการไหลเวียน เพราะเราไม่รู้ว่าเมื่อใดเรามีความจำเป็นต้องใช้ความคิดแปลกๆที่ไม่เคยมีใครคิดมาก่อน ถ้ามีการปิดกั้น เราก็ไม่รู้ว่าความคิดที่ถูกปิดไปจะกลายมาเป็นประโยขน์มากๆหรือไม่
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการให้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ก็มีบางฝ่ายใช้เสรีภาพนี้เพื่อแสดงความคิดเห็นที่มุ่งทำร้ายผู้อื่น แทนที่จะเป็นการแสดงความคิดเห็นเพื่อเสนอความคิดเข้ามาในตลาดความคิดเสรีอย่างเดียว การใช้คำพูดเพื่อมุ่งทำร้ายผู้อื่น เช่นทำให้คนอื่นหรือกลุ่มคนบางกลุ่มถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม เรียกรวมๆว่า “hate speech” ในปัจจุบันยังไม่มีใครบัญญัติคำนี้เป็นภาษาไทยที่ทุกฝ่ายยอมรับกัน ก็เลยต้องใช้ภาษาอังกฤษไปก่อน
ปัญหาก็คือว่า เราควรมีเส้นแบ่งสองอย่างนี้ออกจากกันหรือไม่ อย่างไร และเราควรมีมาตรการทางกฎหมายเพื่อจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เพื่อมิให้มีการใช้เสรีภาพนั้นสร้าง hate speech ขึ้นมาหรือไม่ เรื่องนี้เป็นที่ถกเถียงกันมากมาย แต่เรากำลังพยายามจะหาหลักการที่น่าจะใช้ได้แก่สังคมไทย ก็เลยอยากจะเสนอความคิดไว้ตรงนี้
ในบางประเทศอย่างเช่นเยอรมนี มีกฎหมายที่เข้มงวดมากเกี่ยวกับ hate speech เพราะเขามีประสบการณ์อันขมขื่นมากมายเกี่ยวกับพรรคนาซีและสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ในประเทศสหรัฐ กลับไม่มีการควบคุม hate speech เพราะถือว่า hate speech เป็น free speech แบบหนึ่ง พูดอีกอย่างก็คือว่ารัฐธรรมนูญสหรัฐฯมีการคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวางมาก จนกระทั่งหากไม่มีเหตุอันชัดเจนแจ่มแจ้งว่าเป็นการทำร้ายกันด้วยถ้อยคำจริงๆแล้ว คำพูดหรือการแสดงออกต่างๆย่อมได้รับความคุ้มครองเสมอ
แล้วเราควรจะทำอย่างไร โดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีการแสดงความคิดเห็นผ่านทางสื่อใหม่อย่าง Facebook Twitter หรืออื่นๆกันมากมาย ก่อนที่เราจะได้ข้อสรุป เราอาจต้องลองดูก่อนว่า หากตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งไปจะเกิดผลอะไรตามมา แล้วผลนั้นๆเรายอมรับได้หรือไม่ ในทางหนึ่ง เราอาจมีมาตรการที่เข้มงวดมากๆในการควบคุม hate speech อาจถึงขั้นดำเนินคดีทางอาญาหรือปิดเว็บนั้นๆไปเลย เช่นเดียวกับที่ประเทศไทยทำอยู่ในกรณ๊ของการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตาม ป. อาญามาตรา 112 แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นตามมาก็คือว่า เรามีมาตรอะไรไปวัดว่า คำพูดแบบใดเป็น hate speech แบบใดไม่ใช่ อาจมีคนตอบว่าคำพูดไหนมุ่งทำร้ายคนอื่นหรือกลุ่มอื่นน่าจะเข้าข่าย แต่ปัญหาก็คือว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นการทำร้ายจริงๆ สมมติมีคนๆนึงโพสรูปบนเฟสบุ๊ค เป็นรูปอภิสิทธิ์ทำท่าคิกขุ เป็นเหมือนเด็กผู้หญิง กำลังถือหางเปีย อย่างที่เห็นในรูป การแสดงออกแบบนี้จะเข้าข่าย hate speech หรือไม่ ถ้าตีความแบบหนึ่งก็มองได้ว่าเข้า เพราะรูปนี้เป็นการ “ทำร้าย” อภิสิทธิ์โดยตรง เพราะทำให้ภาพพจน์เสียหาย
แต่ถ้าเรามองอีกมุมหนึ่ง การที่สังคมมีการเปิดให้ผู้คนมีเสรีภาพที่จะล้อเลียนนักการเมืองของตนเองได้ ก็เป็นสัญญาณที่แสดงว่าประชาธิปไตยในสังคมนั้นเบ่งบานงอกงามดี ถ้ามีการออกกฎหมายปิดกั้นมิให้มีการสื่อสารภาพทำนองนี้ออกสู่สาธารณะ ผลที่จะตามมาก็คือว่าประชาชนถูกจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น แม้ว่าความคิดเห็นบางอย่างอาจไม่ถูกใจบางฝ่าย แต่นั่นก็เป็นหัวใจของเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การมีเสรีภาพนี้ไม่ได้หมายความว่า ความคิดเห็นที่แสดงออกมาจะต้องถูกใจทุกๆคนในสังคม นั่นมันเป็นไปไม่ได้ และใครที่คาดหวังเช่นนั้นก็กำลังทำลายเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นไปอย่างน่าเสียดาย
นอกจากนี้อีกเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงควรระวังมากๆในการมีกฎเกณฑ์ใดๆที่จะจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นก็คือว่า ในตลาดความคิดเสรีนั้น ความคิดเห็นใดหรือการแสดงออกใดที่ต่างไปจากของคนส่วนใหญ่มากๆ จะตายไปเองตามธรรมชาติ เนื่องจากความคิดเหล่านั้นไม่ได้รับการ “หล่อเลี้ยง” จากผู้ฟัง จะเปรียบก็เหมือนกับคนที่ออกไปตะโกนอยู่ปาวๆกลางถนน แต่เป็นเรื่องที่ไม่มีใครสนใจเลย อาจมีคนหยุดฟังบ้าง แต่พอรู้ว่าพูดเรื่องอะไรก็เดินหนีไป ความคิดเห็นที่ต่างจากส่วนใหญ่มากๆโดยทั่วไปก็จะเป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าจะมีเหตุผลอะไรที่จะไปปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น โดยอ้างว่าจะเป็น hate speech หรือจะอ้างเหตุผลอื่นอย่างไรก็ตาม ถ้าเราเห็นว่าตลาดความคิดเสรีมีคุณค่า มีความจำเป็นแก่ประชาธิปไตย ก็ควรที่เราจะต้องระวังมากๆในการจำกัดเสรีภาพนี้
You must be logged in to post a comment.